OCSC x ENERGY
โครงการทุนฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ (Strategy-based) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕ : กระทรวงพลังงาน
โครงการทุนฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ (Strategy-based) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕ : กระทรวงพลังงาน
หน้าหลัก | ข้อมูลโครงการ | ตารางเรียนและเอกสารประกอบ | การนำเสนองานเดี่ยว | การนำเสนองานกลุ่ม | รายงาน | FAQ
หลักการและเหตุผล
มาตรา ๑๓ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติให้ สำนักงาน ก.พ. มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับทุนเล่าเรียนหลวงและทุนของรัฐบาลตามนโยบายและ ระเบียบของ ก.พ. ตามมาตรา ๘ (๘) ในการจัดสรรทุนรัฐบาล เพื่อส่งบุคคลไปศึกษาวิชาต่าง ๆ จึงเป็นกลไก หนึ่งสำหรับ ก.พ. ในการวางแผนการเตรียมกำลังคนที่มีศักยภาพสูงภาครัฐในอนาคตให้สอดคล้องกับนโยบาย การบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการฝ่ายพลเรือน
เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ได้มีการประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรกของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งจะต้อง นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อความสุขของคนไทยทุกคน ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ความมั่นคง (๒) การสร้างความสามารถในการ แข่งขัน (๓) การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (๔) การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทาง สังคม (๕) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖) การปรับสมดุลและพัฒนา ระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับการการบริหารจัดการกำลังคนคุณภาพของราชการ ในการประชุม ครั้งที่ ๙/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ได้มีมติเห็นชอบแนวทางและรายละเอียดการจัดสรร ทุนรัฐบาลสำหรับการเตรียมและพัฒนากําลังคนภาครัฐระดับยุทธศาสตร์ (Strategy-based) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยจัดสรรให้ส่วนราชการละ ๒๐ ทุน ซึ่งมีโครงการที่สนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (๖ ด้าน ด้านละ ๒๐ ทุน) รวมทั้งสิ้น ๑๒๐ ทุน และ อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับการเตรียมกําลังคนคุณภาพ ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๕ ได้มีมติเห็นชอบแนวทางและรายละเอียดการจัดสรรทุนรัฐบาลสำหรับการเตรียมและพัฒนากําลังคนภาครัฐในระดับยุทธศาสตร์ (Strategy-based) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
โครงการทุนฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ (Strategy-based) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ สนับสนุนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศในด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการพัฒนาบุคลากรด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะเพื่อพัฒนาความพร้อมในการวางแผน การดำเนินการเปลี่ยนผ่านหน่วยงานของรัฐต่อการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลต่อความมั่นคง ความยั่งยืน และความมั่งคั่งที่ยั่งยืนของประชาชน ชุมชน สังคม และประเทศชาติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาประเทศตามวิสัยทัศน์ประเทศไทยต่อไป
วัตถุประสงค์โครงการ
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ทักษะ ประสบการณ์และคุณลักษณะในการทำงานให้กับข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อเปิดมุมมองและเพิ่มประสบการณ์ให้กับข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของส่วนราชการรวมถึงได้ศึกษาตัวอย่างที่ดีในหน่วยงานภาครัฐและ/หรือภาคเอกชนในประเทศ ตลอดจนมิติการเรียนรู้ วิธีหรือแนวทางการปฏิบัติที่ดีของต่างประเทศ
เพื่อสร้างเครือข่ายการทำงานระหว่างข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อสามารถนำความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และการสะท้อนคิดมาพัฒนาโครงงานขับเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ของกระทรวงพลังงานและหน่วยงานในกำกับ
แนวคิดการออกแบบหลักสูตร
แนวคิดการออกแบบหลักสูตรนั้นมาจากการแนวคิด ๕ มิติสำคัญ อันได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ การจัดการและการจัดเก็บการคาร์บอน และการบริหารความสมดุลของเทคโนโลยีโดยพลังงานสะอาดเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน น้ำ และอาหาร และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงองค์กรเป็นดิจิทัล กรอบแนวคิดด้านโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) แนวคิดการพัฒนาความคิดเชิงนวัตกรรมและ การพัฒนาแผนยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนองค์กร
๑. การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ การจัดการและการจัดเก็บการคาร์บอน และการบริหารความสมดุลของเทคโนโลยีโดยพลังงานสะอาดเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน น้ำ และอาหาร และการจัดการทรัพยากร
การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลกมีสาเหตุหลักมาจากการการเพิ่มจำนวนขึ้นของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases) ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเรือนกระจก ประกอบด้วย มีเทน ซัลเฟอร์ออกไซด์ ในโตรเจนออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ สำหรับคาร์บอนไดออกไซด์ จะเป็นก๊าซเรือนกระจกที่พบเป็นหลัก ถึงแม้ว่าก๊าซเรือนกระจกจะเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลก หากก๊าซเรือนกระจกที่มีปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยรักษาสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่ในสภาพปัจจุบันที่ โลกมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี สภาพสังคมและเศรษฐกิจที่กระตุ้นด้วยระบบ “ทุนนิยมและบริโภคนิยม” ทำให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้น นับจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม พลังงานที่ใช้จะเป็นพลังงานฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ พลังงานฟอสซิลเหล่านี้จะปลอดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ และสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของโลกและของประเทศไทยด้าน อาหาร น้ำ และพลังงาน รวมถึงคุณภาพชีวิตและการดำรงอยู่ของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต บนโลก
เมื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์สร้างขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม และเปรียบเทียบปริมาณการปล่อยและการปล่อยของมนุษย์กับที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การพัฒนาอุตสาหกรรมของมนุษยชาติจำเป็นต้องเข้าถึงแหล่งพลังงานจำนวนมาก เป็นการค้นพบและความสามารถของมนุษย์ในการแปลงพลังงานความร้อนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เป็นพลังงานรูปแบบใหม่ที่นำมนุษยชาติไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยมีการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศต่อปีอยู่ที่ ๓ กิกะตัน ในกรณีของการบริโภคตามปกติ
การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลกเป็นปัญหาที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ดังเห็นได้จากเวทีประชุมผู้ของประเทศต่างๆ มักจะมีประเด็นนี้เข้ามาเป็นประเด็นหารือ ดังเช่น การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๖ หรือ COP ๒๖ ที่สหราชอาณาจักร การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต (CMP ๑๖) และการประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส (CMA ๓) มีผู้นำจาก ๑๑๗ ประเทศได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์การดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้บรรลุข้อตกลงในการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาวอากาศโลก ประเทศไทยได้มีการลงนามในข้อตกลงของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๖ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ หรือ พ.ศ. ๒๕๙๓
สำหรับการสร้างความเป็นกลางนั้นมาจากการพิจารณาถึงเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ และแหล่งพลังงานที่จะตอบสนองกิจกรรมของมนุษย์ที่เปลี่ยนไปทั้งในมิติของผู้ผลิตและผู้บริโภคในเงื่อนไขที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ คนกลางและผู้ที่มีส่วนได้เสีย อย่างไรก็ดีพลังงานและแหล่งพลังงานที่ใช้ในการตอบสนองกลุ่มที่เกี่ยวข้อง มีประโยชน์และต้นทุนต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องมีการทบทวนในเชิงนโยบายเพื่อให้การเสาะหาและจัดการพลังงานของชาติไม่กระต่อความมั่นคงด้านอาหาร น้ำ และแหล่งกักเก็บคาร์บอน ซึ่งจะส่งผลต่อความยั่งยืนและความมั่นคงของประเทศในอนาคต
เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ การวางแผนเชิงนโยบายด้านทางเลือกพลังงาน ทางเลือกเทคโนโลยีด้านพลังงาน ความมั่นคงของสังคม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม การบริหารพลังงาน เทคโนโลยีการบริหารจัดการพลังงาน (เช่น Smart grid AI Block chain) การพัฒนาแนวคิดด้านธุรกิจใหม่และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจต่อชุมชน (เช่น การขายคาร์บอน โรงงานไฟฟ้าชุมชน) และการผลิตสินค้าที่เป็นผลผลิตจากพลังงานที่เหมาะสมและเพิ่มมูลค่า (เช่น วัตถุดิบอาหารต่อการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน) การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน การดูแลผู้และสร้างความเข้าใจต่อผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนได้เสีย การเตรียมความพร้อมของบุคลากร แนวทางการคำนวณการลดการปล่อยคาร์บอน วงจรการจัดการอุปกรณ์ที่เป็นแหล่งกักเก็บพลังงาน รวมไปถึงการประเมินความคุ้มค้าในการลงทุนในเทคโนโลยีและโมเดลการจัดการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
๒. การเปลี่ยนแปลงองค์กรเป็นดิจิทัล
กรอบแนวคิดด้านกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นดิจิทัล (Digital transformation) เป็นแนวคิดเชิงกลยุทธ์ขององค์กรที่จะนำเครื่องมือ นโยบาย และความสามารถด้านดิจิทัลไปสร้างการเปลี่ยนผ่านขององค์กรไปสู่องค์กรที่การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐและความความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของประเทศ บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ได้ทำการวิจัยและพัฒนา ๗-Factor Model เพื่อเป็นกรอบแนวคิดหรือแพลตฟอร์มในการเปลี่ยนผ่านองค์กรโดยเฉพาะภาครัฐสู่ยุคดิจิทัลในระดับยุทธศาสตร์ ประกอบไปด้วย ๗ มิติ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
การสร้างการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงของประชาชน (Citizen engagement) ด้วยการใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) อาทิ Influencer Marketing, SEM (Search Engine Management), Content Marketing, Digital Branding, Chatbot เป็นต้น ทำให้ภาครัฐสามารถเพิ่มระดับการบริการแก่ประชาชน เข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสื่อสารเพื่อลดผลกระทบปัญหาข่าวปลอมและสร้างการมีส่วนร่วม
ผู้นำยุคดิจิทัล (Digital leadership) ผู้นำต้องตระหนักและความเข้าใจในการบริหารยุคดิจิทัล มีทักษะการประเมินอนาคต (Foresight) ซึ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ต้องมีทักษะการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) นอกและแสดงให้เห็นทิศทางการบริหารยุคดิจิทัล เช่น การมี Digital Transformation Strategy, CIO บทบาทใหม่ตามที่ ครม.อนุมัติตามข้อเสนอของ ก.พ. หรือผู้ดูแลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน (Process transformation) โดยเริ่มจากการคิดแบบลีน (Lean Process) เพื่อให้เป็นภาครัฐที่คล่องตัว ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น แล้วอาจเริ่มการทำ Document Digitization จากนั้นปรับเปลี่ยนกระบวนการในองค์กรด้วยดิจิทัล (Digitalization)
การคิดเชิงนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ (New business modeling) โมเดลใหม่ในการทำงาน หรือปรับปรุงโมเดลเดิมด้วยดิจิทัล ทั้งนี้ควรต้องใช้เครื่องมือต่อไปนี้ประกอบ อาทิ ๑) Design Thinking, ๒) Business Model Canvas หรือ ๓) New Business Models ของ Don Tapscott ในหนังสือ Digital Economy และ หนังสือ Blockchain Revolution เป็นต้น มาเป็นเครื่องมือกระตุ้นการพัฒนาและการปรับเปลี่ยนความคิด การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการจัดการนวัตกรรม (Creativity and Innovation management) เน้นกระบวนการออกแบบกระบวนการหรือโครงการตามความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน เป็นการฝึกสร้างโครงงานที่ตอบโจทย์ชุมชนและประชาชนจากกระบวนการทางความคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) โดยตระหนักว่าการทำนำเสนอ หรือ สร้างโครงการใด ๆ จะมีผลกระทบและประโยชน์กับผู้ได้รับอย่างแท้จริงอย่างไร โดยเฉพาะการเข้าใจความต้องการของชุมชนและประชาชน และกำหนดความต้องการที่แท้จริงเพื่อสร้างงานที่ตอบสนองต่อความต้องการนั้น ๆ ผ่านกระบวนการความคิดเชิงออกแบบอย่างเป็นขั้นตอน ที่นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมของกระบวนการแบบใหม่ ๆ ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงการนำนวัตกรรมมาเป็นองค์ประกอบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มหรือสร้างความยั่งยืนต่อการดำเนินการ
ความสามารถทางดิจิทัลขององค์กร (Digital capacity) ประกอบไปด้วย ๒ ประเด็นสำคัญคือ ๑. Digital Skill Sets เป็นประเด็นสำคัญมากของราชการที่ข้าราชการจะต้องมีทักษะต่าง ๆ ที่แนะนำโดยสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สอดคล้องกับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยจากระดับเริ่มต้น (Early) สู่ระดับกำลังพัฒนา(Developing) และในที่สุดสู่ระดับก้าวหน้า (Mature) เช่น Digital Literacy, Digital Governance, Digital Transformation, Cybersecurity และ Digital Culture เป็นต้น และ ๒. Digital Platform: ระบบ IT ของหน่วยงานรวมเทคโนโลยี เช่น Hardware, Software, Application, Big Data, Internet, ๔G/๕G, Optical Fiber เป็นต้น ซึ่งควรต้องมีการวางแผนและเป้าหมายก่อนการติดตั้งระบบต่าง ๆ ดังนั้นองค์กรจะต้องมีการวางพิมพ์เขียวก่อนด้วย Enterprise Architecture (EA)
ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber security) เมื่อรัฐกำลังมุ่งสู่รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) กำลังย้ายข้อมูลจาก Physic และ Analog ไปสู่รูปแบบดิจิทัลมากขึ้น หมายถึงการเพิ่มความไว้วางใจ (Confidentiality) ข้อมูลที่เป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนหน่วยงาน ที่เรียกว่ามีความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของหน่วยงานไปบนระบบกลาง บางครั้งอยู่บนคลาวด์ (Cloud) เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างหรือมั่นใจว่าระบบจะมีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์สูงๆ ป้องกันการโจรกรรมข้อมูล หรือการทำลายระบบ อันจะส่งผลให้เกิดการล่ม (Shut-down) ของบริการของรัฐที่สำคัญต่อประชาชนได้ อาทิ ระบบพลังงาน ระบบการเงินการธนาคาร ระบบโทรคมนาคม ระบบสาธารณสุข เป็นต้น
กฎหมายและกฎระเบียบใหม่ด้านดิจิทัล (Digital laws and regulations) กฎหมายและกฎระเบียบใหม่ด้านดิจิทัลซึ่งจะมากขึ้น ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ มีพระราชบัญญัติสำคัญ ๒ ฉบับคือ พระราชบัญญัติความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ อาทิ พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พระราชบัญญัติอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ที่จะกำกับดูแลเหตุการณ์ใหม่ๆ ทางดิจิทัล เช่น สังคมไร้เงินสด การจัดการข่าวปลอม (Fake News) เป็นต้น รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ ล่าสุดของโลก เช่น การเก็บภาษีดิจิทัล (Digital Tax) จากบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี Amazon, Apple, Google, Netflix ฯลฯ ซึ่งหน่วยงานราชการจะต้องเตรียมรับให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นโอกาส (Opportunity) หรือภัยคุกคาม (Threat) ก็ตาม
๓. กรอบแนวคิดด้านโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG)
โมเดล BCG (B-Bioeconomy, C-Circular economy, G-Green economy) เป็นโมเดลที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนโดยมุ่งเน้นมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรชีวภาพ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียนที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าหรือยาวนานที่สุด และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างมีประเสิทธิภาพจะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจบทรากฐานการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรที่หมุนเวียนใช้และยังคงสามารถรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อความมั่นคงของประชาชนได้
โมเดล BCG เกิดจากฐานทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งโมเดลทางเศรษฐกิจนี้จะนำฐานทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มโดยคำนึงถึงการจัดการให้เกิดการหมุนเวียน ฟื้นฟู ตลอดจนการอนุรักษ์ฐานทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมเหล่านี้ จะทำให้เศรษฐกิจและสังคมสามารถพึ่งพาตัวเองได้ สร้างความมั่นคงทางสังคมและชุมชน ตลอดจนการฟื้นตัวได้รวดเร็วของทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ต่อการใช้โดมเดล BCG ว่าเป็น “เป็นกลไกที่มีศักยภาพสูงในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศอย่างทั่วถึง สามารถกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันสามารถสร้างให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในบางสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพ”
การขับเคลื่อนโมเดล BCG นั้นจำเป็นต้องมีการสร้างความร่วมมือและเครือข่ายของจตุภาคี อันได้แก่ ภาครัฐบาลและหน่วยงานในกำกับ ภาคการวิจัยและสถาบันการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และภาคชุมชน ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีกลไกกระตุ้น (เช่น ยุทธศาสตร์การพัฒนา แผนพัฒนาพื้นที่ เครือข่ายวิจัยและพัฒนา และการสร้างตลาดเพื่อรองรับสินค้าและการบริโภค) และกลไกการขับเคลื่อนที่สำคัญ (เช่น โครงสร้างพื้นฐาน มาตรการทางการเงินและการคลัง การพัฒนากำลังคน และการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบ) ในการขขับเคลื่อนเครือข่ายจตุภาคีและตอบวัตถุประสงค์โมเดล BCG
โดย ณ ปัจจุบัน รัฐบาลไทยได้มีการเน้นย้ำถึงการขับเคลื่อนโมเดล BCG ใน ๔ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของประเทศไทย ได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเกี่ยวพันกับการจ้างงานของคนในประเทศมากกว่า ๑๖.๕ ล้านคน
๔. แนวคิดการพัฒนาความคิดเชิงนวัตกรรม
การพัฒนาแนวคิดเชิงนวัตรกรรม จะเน้นการใช้เครื่องมือการออกแบบแนวคิด (Design thinking) และการพยากรณ์ด้านเทคโนโลยี (Technology foresight) เพื่อการปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการให้บริการหรือการพัฒนาเครื่องมือ โครงสร้าง หรือกระบวนการให้การให้บริการหรือการพัฒนานโยบายการดำเนินการขององค์กร ทั้งนี้จะเป็นการนำการพยากรณ์ทางเทคโนโลยีเข้ามาประกอบเพื่อให้สามารถเข้าใจแนวทางการประเมินเป้าหมายด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการพัฒนาแผนปฏิบัติราชการและนโยบายด้านพลังงานที่จะเกี่ยวพันกับการลงทุนและการส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดในอนาคต
๕. การพัฒนาแผนยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนองค์กร
การพัฒนาแผนกลนยุทธ์การขับเคลื่อนการพัฒนามาจากความต้องการของผู้รับการอบรมที่ต้องการสร้างแผนการสร้างความสมดุลด้านพลังงานเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศตามข้อตกลงนานาชาติ รวมถึงการขยายแนวคิดการบริหารพลังงานรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างความยั่งยืนทางพลังงานให้กับประเทศ ทั้งนี้แนวคิดด้านการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ จะอ้างอิงจากการพัฒนาแผนปฏิบัติราชการภาครัฐที่แนะนำโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อย่างไรก็ดีแนวคิดการพัฒนาแผนเพื่อรอบรับการดำเนินการในอนาคตโดยพัฒนาความเข้าใจด้านความเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ในระดับ ๑ ถึง ๓ การเข้าใจบทบาทของหน่วยงานผ่านโมเดลการดำเนินการและการวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานองค์กร การสังเคราะห์ตัวชี้วัดที่จะนำมาเป็นกรอบในการพัฒนาความคิดด้านแผนและแนวทางการขับเคลื่อน อย่างไรก็ดีจะมีการขยายแนวคิดจากการให้ทบทวนตัวชี้วัดนานาชาติ เทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ การทบทวนนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องมือการออกแบบความคิดและการพยากรณ์เพื่อพัฒนาแนวทางการพัฒนารูปแบบต่างๆ ทั้งนี้จะรวมไปถึงการวิเคราะห์ทรัพยากรและปัจจัยกดดันภายนอก การระบุแนวทางปฏิบัติราชการ และการพัฒนาโครงการ โดยจะมีการนำตัวอย่างจริงเทียบกับการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการพัฒนาแผนปฏิบัติราชการของแผนในในระดับ 3
วิธีการพัฒนา
หากแยกตามโมดูลการเรียนรูเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ดังที่ปรากฏในตารางที่ ๑ นั้น การออกแบบการเรียนรู้จะประกอบด้วย ๔ โมดูลอันได้แก่ (๑) การปรับและเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน (๒) การให้คำปรึกษาสำหรับการนำเสนอข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม (๓) การแลกเปลี่ยนความรู้และการนำเสนอข้อเสนอหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม และ (๔) การติดตามและการประเมินผลโครงการ ในแต่ละโมดูลมีวิธีการพัฒนาบุคลากร ดังนี้
๑. โมดูล ๑ การปรับและเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน (Knowledge-based building) ได้แก่ การบรรยายในชั้นเรียน (Lecture) การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) จากประสบการณ์ในการบริหารและกรณีศึกษา (Case-based learning) ตลอดจนการสะท้อนคิด (Reflection) แบบฝึกหัดเดี่ยว (Individual Assignment) อภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) การให้คำปรึกษา (Consulting) และ รูปแบบการนำประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละบุคคลให้คำปรึกษาระหว่างกันเพื่อแก้ปัญหา (Peer Consulting/ self-help group) ซึ่งจะทำการศึกษาในระยะเวลา ๒๑ วัน ระหว่างวันที่ ๒ มีนาคม ถึง ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕
๒. โมดูล ๒ การให้คำปรึกษาสำหรับการนำเสนอข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม ได้แก่ การร่วมกับทปรึกษาพัฒนาโครงงานกลุ่มและโครงงานเดี่ยวเพื่อการพัฒนาพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ แนวทางในการดำเนินการจะอิงจากการดำเนินวิจัยปฏิบัติการที่เน้นการเข้าไปศึกษาปัญหาในบริบทที่ทำงานในหน่วยงาน ออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา และการทดลองนำไปประยุกต์ใช้ (การทดลองประยุกต์ใช้จะกลายเป็นโครงการในการศึกษาทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยวต่อไป ทั้งนี้ ในกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะมีการใช้เครื่องมือเชิงคุณภาพและปริมาณเพื่อเก็บข้อมูลก่อนหาแนวทางการแก้ไขปัญหา นอกเหนือจากนั้นผู้เรียนจะได้เดินทางไปศึกษางานในหน่วยงานของรัฐบาลและเอกชนเพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนกระบวนการดำเนินการ เงื่อนไขการดำเนินการ แลกเปลี่ยนกรณีตัวอย่าง รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน การศึกษาในโมดูลที่ ๒ นั้นจะทำการศึกษาในระยะเวลาศึกษารวม ๖ วัน ระหว่างวันที่ ๒๕ เมษายน ถึงวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
๓. โมดูล ๓ การแลกเปลี่ยนความรู้และการนำเสนอข้อเสนอหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม ได้แก่ การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small group discussion) การประชุมปฏิบัติการ (Workshop) การแบ่งปันประสบการณ์ (Case sharing) กิจกรรมพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา (Problem solving activity) การให้คำปรึกษาทั้งในชั้นเรียนและทางไกล (Consulting/online consulting) บรรยายคุณลักษณะด้านความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง (Change agent attribute) การนำเสนอโครงการ (Project presentation) กลุ่มและโครงการเดี่ยว กิจกรรมในโมดูลนี้ดำเนินการเป็นระยะเวลา ๑ วัน ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
๔. โมดูล ๔ การติดตามและการประเมินผลโครงการ การดำเนินการนี้จะเป็นการเข้าหารือเรื่องของความคืบหน้าของโครงการกับหัวหน้างานเพื่อทราบถึงเงื่อนไขสนับสนุนและข้อจำกัดการดำเนินการ รวมถึงการให้คำปรึกษากับผู้เรียนเป็นจำนวน ๒ วัน ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม และวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕
วิธีจัดการเรียนรู้และพัฒนา
เกณฑ์ในการผ่านหลักสูตรและการได้รับประกาศนียบัตร จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีนั้น ผู้รับทุนต้องผ่านเกณฑ์ทั้งหมด ดังนี้
๑. การเข้าเรียนต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า ร้อยละ ๑๐๐ ของระยะเวลาเรียนทั้งหมด
๒. ผู้รับทุนจะต้องได้รับคะแนนรวมจากการทำกิจกรรมทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ โดยมีรายละเอียดดังนี้
กิจกรรมกลุ่ม (Best Practice Report) ร้อยละ ๕๐
กิจกรรมเดี่ยว (Area-based Development Report) ร้อยละ ๓๐
กิจกรรมในห้องเรียน ร้อยละ ๒๐
๓. ต้องมีส่วนร่วมการนำเสนอข้อเสนอในการพัฒนาการทำงานเพื่อตอบยุทธศาสตร์อย่างน้อย ๑ หัวเรื่องสำหรับโครงการกลุ่ม และนำเสนอโครงการเดี่ยวอย่างน้อย ๑ หัวเรื่อง
คุณสมบัติผู้เข้าอบรม
เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญของกระทรวงพลังงาน จำนวน ๑๒ คน
ช่วงเวลาและระยะเวลาอบรม
ช่วงเวลาจัดอบรม ระหว่างเดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
ระยะเวลาอบรม ตั้งแต่โมดูล ๑ – ๔ ใช้ระยะเวลารวม ๒๐ วัน (ดูตารางเรียนที่นี่)
โมดูล ๑ การปรับและเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน (Knowledge-based building)
โมดูล ๒ การให้คำปรึกษาสำหรับการนำเสนอข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม
โมดูล ๓ การแลกเปลี่ยนความรู้และการนำเสนอข้อเสนอหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรมและ
โมดูล ๔ การติดตามและการประเมินผลโครงการ
เกณฑ์การประเมินผล
๑. คะแนนร้อยละ ๗๐ มาจากคะแนนการฝึกปฏิบัติงานเดี่ยว (ร้อยละ ๔๐) และงานกลุ่ม (ร้อยละ ๓๐)
งานเดี่ยว รูปแบบ Poster และ Report เกณฑ์การพิจารณา ความสมบูรณ์และถูกต้องของเนื้อหา การนำเสนอเข้าใจง่าย เวลาส่งงานตรงต่อเวลา
งานกลุ่ม (๑๒ คน) รูปแบบ Slide และ Report เกณฑ์การพิจารณา ความสมบูรณ์และถูกต้องของเนื้อหา การนำเสนอเข้าใจง่าย เวลาส่งงานตรงต่อเวลา
๒. คะแนนร้อยละ ๓๐ มาจากเวลาการเข้าเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ของชั่วโมงการสอน
ผู้ประสานงานโครงการ
ผศ. ดร.ปารเมศ วรเศยานนท์, ผู้จัดการโครงการ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
โทร: +66 0999-191-598
e-mail: parameth.vor@kmutt.ac.th
คณะทำงาน
ผศ. ดร.วรพจน์ อังกสิทธิ์, คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.ปฏิภาณ แซ่หลิ่ม, รองคณบดีฝ่ายแผนและประกันคุณภาพ, บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร. ธิดารัตน์ บุญศรี, อาจารย์, คณะวิทยาศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ดร.วรัญญา ติโลกะวิชัย, อาจารย์, บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ที่ปรึกษาโครงการ
ผศ.ดร. กูสกานา กูบาฮา, คณบดี, คณบดีคณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี