การวางแผนที่การตลาดด้วยตำแหน่งทางการตลาด
"CRAFT LAB: Make every technology commercialised"
"CRAFT LAB: Make every technology commercialised"
การวางแผนที่การตลาดด้วยตำแหน่งทางการตลาด
ผศ. ดร. ปารเมศ วรเศยานนท์
บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
การวางตำแหน่งทางการตลาด (Market Positioning) เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการสร้างการรับรู้ของผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ของคุณในใจของกลุ่มเป้าหมาย เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
การกำหนดการรับรู้เกี่ยวกับของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ภายในตลาดเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการจัดการทางการตลาด ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปจนถึงกลยุทธ์การขายให้สอดคล้องกันชัดเจนและทำให้แบรนด์หรือสินค้าแตกต่างจากคู่แข่ง
การวางตำแหน่งที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของโดดเด่น สร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งกับลูกค้า นำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์และการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว
การพัฒนาตำแหน่งทางการตลาด
ก่อนที่จะวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของคุณได้ คุณจำเป็นต้องเข้าใจภาพรวมของตลาดการหาข้อมูลอย่างละเอียดจะช่วยให้มีข้อมูลเชิงลึกเพียงพอในการพัฒนาตำแหน่งทางการตลาดที่จำเป็นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ข้อมูลที่สำคัญได้แก่ (1) ข้อมูลกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (2) ข้อมูลคู่แข่ง (3) ข้อมูลข้อเสนอตนเอง
ข้อมูลกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
หัวใจของการวางตำแหน่งที่ประสบความสำเร็จคือการรู้จักลูกค้าเชิงลึก การทำความเข้าใจว่าลูกค้าของคุณคือใคร จะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแท้จริง ข้อมูลพื้นฐานที่ควรมี (หรืออ้างอิงจาก Customer Persona) ได้แก่
ลูกค้าคือใครและมีบทบาทใดในองค์กร หรือ มีลักษณะอย่างไร (เช่นช่วงชีวิตใด) เพื่อกำหนดบทบาทและลักษณะ
ข้อมูลประชากร (Demographics): อายุ, เพศ, รายได้, การศึกษา, อาชีพ, สถานะทางครอบครัว สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยในการแบ่งกลุ่มลูกค้า
ข้อมูลเชิงจิตวิทยา (Psychographics): ไลฟ์สไตล์, ค่านิยม, ความสนใจ, ทัศนคติ, บุคลิกภาพ การทำความเข้าใจด้านจิตวิทยาจะช่วยให้คุณเข้าถึงแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจซื้อ
ความต้องการ (Needs): พวกเขากำลังมองหาอะไร? ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณตอบสนองความต้องการพื้นฐานใด
พฤติกรรม (Behaviors): พวกเขาซื้ออะไร? ซื้อเมื่อไหร่? ซื้อที่ไหน? ซื้อบ่อยแค่ไหน? พวกเขาใช้เวลาบนแพลตฟอร์มใด?
ปัญหาที่พบ (Pain Points) อะไรคือปัญหาหรือความท้าทายที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ และผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถช่วยแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร การระบุ Pain Points จะช่วยให้คุณสร้างข้อเสนอที่ตรงจุด
ตัวชี้วัดผลสำเร็จ นิยามผลลัพธ์และค่าเป้าหมาย (ถ้าเป็นไปได้) จากผลลัพธ์การแก้ปัญหา (อ้างอิงจากปัญหาที่พบ)
การวิเคราะห์อย่างละเอียดเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถสร้าง "Persona" ของลูกค้าในอุดมคติ ซึ่งเป็นตัวแทนที่สมจริงของกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ข้อมูลคู่แข่ง
การทำความเข้าใจคู่แข่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการวางตำแหน่งของคุณจะถูกมองเปรียบเทียบจากสิ่งที่คู่แข่งนำเสนอ ข้อมูลที่สำคัญได้แก่
ข้อมูลคู่แข่งโดยตรงและโดยอ้อม
คู่แข่งโดยตรง คือผู้ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายคลึงกันเพื่อตอบสนองความต้องการเดียวกัน (เช่น McDonald's กับ Burger King)
คู่แข่งโดยอ้อม คือผู้ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แตกต่างกัน แต่สามารถตอบสนองความต้องการเดียวกันได้ (เช่น ร้านกาแฟ กับร้านน้ำผลไม้ที่ต่างตอบสนองความต้องการเครื่องดื่ม)
ข้อเสนอหรือคุณลักษณะสำคัญของสินค้าหรือบริการในกลุ่มสินค้านำเสนอแก่ลูกค้า โดยทั่วไป (ตามความคาดหวังอ้างอิงของลูกค้า) โดยคู่แข่งหลัก ทั้งนี้อาจตั้งคำถามเพื่อสะท้อนความคิดเกี่ยวข้องกับกรอบอ้างอิวงทางการตลาดเพื่อระบุ คุณลักษณะสำคัญของสินค้าหรือบริการในกลุ่มสินค้านำเสนอแก่ลูกค้า โดยทั่วไป (ตามความคาดหวังอ้างอิงของลูกค้า) ดังนี้ "อะไรคือกรอบอ้างอิงทางการตลาดที่ทำให้สินค้ามีคุณคุณค่าที่แตกต่างกันและมีเอกลักษณ์" หลังจากได้คำตอบจะต้องพิจารณารวมถึงคุณค่าที่ข้อเสนอหรือคุณลักษณะสำคัญของสินค้าหรือบริการส่งมอบแก่ลูกค้า
ตัวอย่างคุณลักษณะสำคัญของสินค้าหรือบริการในกลุ่มสินค้านำเสนอแก่ลูกค้าเช่น "การจัดส่งที่รวดเร็ว" สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ มักจะเป็นคุณลักษณะที่คาดหวัง
ตัวอย่างคุณค่าจากข้อเสนอที่มาจากคุณลักษณะสำคัญของสินค้าหรือบริการในกลุ่มสินค้านำเสนอแก่ลูกค้า เช่น "การจัดส่งที่รวดเร็ว" สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ นำไปสู่การไม่กังวลต่อการสูญหาย และไม่เสียโอกาสในการได้ใช้ประโยชน์
จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง: คู่แข่งทำอะไรได้ดี? พวกเขามีข้อบกพร่องตรงไหน? (ในการนำเสนอลูกค้า) การวิเคราะห์นี้จะช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบ
การวางตำแหน่งปัจจุบันของคู่แข่งในตลาด: คู่แข่งต้องการให้ผู้บริโภครับรู้พวกเขาอย่างไร? พวกเขาสื่อสารอะไรออกไป? การทำความเข้าใจการวางตำแหน่งของคู่แข่งจะช่วยให้คุณหาช่องว่างหรือจุดที่ยังไม่มีใครเข้าไปจับจอง
ช่องว่างหรือจุดอ่อนในข้อเสนอของคู่แข่งที่คุณสามารถใช้ประโยชน์ได้: มีอะไรที่คู่แข่งยังทำได้ไม่ดี หรือยังไม่ได้ทำเลยหรือไม่? นี่คือโอกาสของคุณ
ข้อมูลข้อเสนอสินค้าหรือบริการ (ของตนเอง)
หลังจากทำความเข้าใจลูกค้าและคู่แข่งแล้ว ถึงเวลาพิจารณาข้อมูลข้อเสนอสินค้าหรือบริการ (ของตนเอง) โดยพิจารณา
จุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Selling Points - USPs): อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน? สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติ ประโยชน์ หรือลักษณะเฉพาะที่คู่แข่งไม่มีหรือไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย
ประโยชน์หลักที่คุณนำเสนอ (Core Benefits): ผลิตภัณฑ์ของคุณมอบประโยชน์อะไรให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง? ไม่ใช่แค่คุณสมบัติ แต่เป็นผลลัพธ์เชิงบวกที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณแตกต่างหรือดีกว่าโดยพื้นฐาน? ตอบคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาและระบุถึงแก่นแท้ของความเหนือกว่าที่คุณมี
รูปแบบการวางตำแหน่งทางการตลาด
กลยุทธ์ที่แบรนด์ต่างๆ นิยมใช้ในการสร้างความโดดเด่น มีดังนี้ (1) การวางตำแหน่งตามคุณลักษณะผลิตภัณฑ์ (2) การวางตำแหน่งตามราคา/คุณภาพ (Price/Quality Positioning) (3) การวางตำแหน่งตามการใช้งานหรือการประยุกต์ใช้ (Use or Application Positioning) (4) การวางตำแหน่งตามผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ (User Positioning) (5) การวางตำแหน่งเทียบกับคู่แข่ง (Competitor Positioning)
การวางตำแหน่งตามคุณลักษณะผลิตภัณฑ์ (Product Attribute Positioning)
การเน้นคุณสมบัติหรือประโยชน์ที่ โดดเด่นหรือเป็นเอกลักษณ์ ที่ผลิตภัณฑ์มีเพียงรายเดียว หรือทำได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด และคุณสมบัติหรือประโยชน์ที่ โดดเด่นหรือเป็นเอกลักษณ์นี้ต้องเป็นที่ต้องการและถูกมองว่ามีคุณค่าในมุมมองลูกค้าด้วย
ตัวอย่าง: แบรนด์รถยนต์ที่เน้นเรื่อง ความปลอดภัยสูงสุด (เช่น Volvo) หรือแบรนด์สมาร์ทโฟนที่เน้น กล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุด
การวางตำแหน่งตามราคา/คุณภาพ (Price/Quality Positioning)
เป็นการกำหนดการรับรู้ระหว่างราคาและคุณภาพ โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก อันได้แก่ความ พรีเมียม (Premium Positioning) โดยเน้นตั้งราคาสูงเพื่อสื่อถึงคุณภาพ ความพิเศษ และสถานะทางสังคม (เช่น Chanel, Tesla) หรือความคุ้มค่า (Value Positioning) โดยเน้นการเสนอคุณค่าที่ดีที่สุดในราคาที่ต่ำที่สุด หรือคุ้มค่าที่สุด (เช่น Uniqlo, IKEA)
การวางตำแหน่งตามการใช้งานหรือการประยุกต์ใช้ (Use or Application Positioning)
เป็นการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์กับ โอกาสในการใช้ หรือ สถานการณ์เฉพาะ
ตัวอย่าง: Gatorade วางตำแหน่งเป็นเครื่องดื่มสำหรับ นักกีฬา เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (ไม่ใช่แค่น้ำหวานทั่วไป) หรือผลิตภัณฑ์ที่วางตำแหน่งสำหรับการใช้งานใน "ที่ทำงาน" เท่านั้น
การวางตำแหน่งตามผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ (User Positioning)
เป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและสร้างภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม หรือการเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับ ความรู้สึก ทัศนคติ หรือ วิถีชีวิต ที่ลูกค้าต้องการ
ตัวอย่าง:
วางตำแหน่งสำหรับ "นักธุรกิจรุ่นใหม่" "ผู้รักสุขภาพ" หรือ "วัยรุ่นที่ชอบผจญภัย" แบรนด์จะเลือกใช้พรีเซนเตอร์และภาษาที่กลุ่มเป้าหมายนั้นเข้าใจและต้องการเป็น
Nike ไม่ได้ขายแค่รองเท้า แต่ขาย แรงบันดาลใจ และ จิตวิญญาณแห่งความเป็นนักกีฬา (Just Do It) หรือแบรนด์ที่เน้นค่านิยมความยั่งยืนและการรักษ์โลก
การวางตำแหน่งเทียบกับคู่แข่ง (Competitor Positioning)
การวางตำแหน่งตัวเองโดย เปรียบเทียบ หรือ อ้างอิง ถึงคู่แข่ง เพื่อแสดงจุดแข็งหรือความแตกต่างที่เหนือกว่า
ตัวอย่าง: แบรนด์ที่โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของตน ดีกว่า หรือ แก้ไขปัญหา ที่ผลิตภัณฑ์ของผู้นำตลาดทำไม่ได้
แนวทางในการเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับสินค้าหรือบริการของท่าน
แนวทางในการเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับสินค้าหรือบริการ ประกอบด้วย
กลุ่มเป้าหมายของมี ปัญหา (Pain Points) อะไรที่คู่แข่งยังแก้ไม่ได้ หรือยังแก้ได้ไม่ดีพอ?
ประโยชน์และคุณค่าอะไรในกลุ่มสินค้า/บริการ ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้ ความสำคัญมากที่สุด (เช่น ราคา, ความสะดวก, ความเร็ว, การออกแบบ)?
คู่แข่งหลักของคุณ วางตำแหน่งตัวเองอย่างไร ในปัจจุบัน? (เช่น คู่แข่งเน้นราคาต่ำ? หรือเน้นความหรูหรา?)
คุณสมบัติเด่น หรือ ความสามารถหลัก ที่สินค้าหรือบริการของคุณทำได้ดีกว่าคนอื่น? นี่คือ เหตุผลที่ต้องเชื่อ (Reason to Believe) ในคำมั่นสัญญาของสินค้าหรือบริการของท่าน
มีช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีใครจับจองอยู่หรือไม่? การเลือกตำแหน่งที่แตกต่างจากคู่แข่งโดยสิ้นเชิงจะช่วยหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรงได้
ตำแหน่งที่คุณเลือก สอดคล้อง กับวิสัยทัศน์ ภารกิจ และทรัพยากรของบริษัทในระยะยาวอย่าวไร?
ตัวต้นแบบการพัฒนาจุดยืนทางการตลาดและตัวอย่าง
แบบร่างในการนำเสนอคุณค่าเบื้องต้น
ในตอนนี้ให้ร่างแบบร่างในการนำเสนอคุณค่าเบื้องต้น โดยมีโครงสร้างพื้นฐานดังนี้
สินค้าของเรา (ชื่อสินค้า) ช่วย (กลุ่มเป้าหมาย) ให้บรรลุ (ความต้องการของลูกค้า) โดย (คุณลักษณะ/ปัจจัยที่แตกต่างของแบรนด์)
ตัวอย่าง: "มอบน้ำดื่มบรรจุขวดคุณภาพสูงให้กับกลุ่มมิลเลนเนียลที่ใส่ใจสังคม ซึ่งช่วยต่อสู้กับวิกฤติน้ำสะอาดทั่วโลกด้วยการซื้อทุกครั้ง
แบบร่างจุดยืนทางการตลาด
ตัวอย่าง: สำหรับผู้ปกครองที่ทำงานยุ่ง FreshBite คือบริการจัดส่งอาหารที่มอบอาหารเย็นที่ปรุงโดยเชฟและมีคุณค่าทางโภชนาการภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที เพราะเราใช้ชุดอุปกรณ์ทำอาหารอัจฉริยะ โดยใช้สูตรจากเชฟชื่อดัง และเทคโนโลยีการจัดส่งที่ช่วยประหยัดเวลา
โครงสร้าง:
สำหรับ (กลุ่มเป้าหมาย) เช่น ผู้ปกครองที่ทำงานยุ่ง
ปัญหา (ของกลุ่มเป้าหมาย) เช่น ที่ทำงานยุ่ง (ไม่มีเวลาเตรียมอาหารเอง แต่ไม่อยากกินอาหารที่ไม่ไดี หรือเสียเวลาหาร้านที่ไม่มีรสชาติมาตรฐาน)
หมายเหตุ ควรประเมินปัญหาที่สำคัญจากการแปลงปัญหาให้สามารถวัดและระบยุค่าเป้าหมายได้
ชื่อสินค้า/บริการ/แบรนด์ เช่น FreshBite
กลุ่มประเภทสินค้า เช่น อาหารจัดส่งพร้อมทาน (อ้างอิงจาก "จัดส่งอาหารที่มอบอาหารเย็น")
หมายเหตุ: อย่าลืมเช็คความต้องการลูกค้าจากกลุ่มประเภทอาหารจัดส่งพร้่อมทาน และ ข้อเสนอสำคัญของคู่แข่งด้วย ตัวอย่างเช่น การจัดส่ง (ความเร็ว เวลาจัดส่ง และเวลาที่ควรส่ง) คุณภาพวัตถุดิบ รสชาติที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ราคาและความคุ้มค่า (จากราคาหรือการได้รับส่วนลด)
ให้ประโยชน์/ส่งมอบคุณค่า เช่น ไม่เสียเวลาเตรียมอาหาร ลดความเสี่ยงด้านรสชาติอาหารที่ไม่เป็นมาตรฐาน และมั่นใจได้ถึงความสดและยังคงประโยชน์ทางโภชนาการ (อ้างอิงจาก "อาหารเย็นที่ปรุงโดยเชฟและมีคุณค่าทางโภชนาการภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที")
หมายเหตุ: เลือกประโยชน์และคุณค่าที่ส่งมอบสำคัญ จากการวิเคราะห์ประเด็นความต้องการหลักลูกค้า ความแตกต่าง (วิเคราะห์จากข้อเสนอของคู่แข่ง และความแตกต่างที่ระบุนั้นตอบความต้องการ/แก้ปัญหาลูกค้าได้)
ข้อมูลสนับสนุนให้เชื่อมั่นที่จะส่งมอบประโยชน์และคุณค่าได้ เช่น ชุดอุปกรณ์ทำอาหารอัจฉริยะ โดยใช้สูตรจากเชฟชื่อดัง และเทคโนโลยีการจัดส่งที่ช่วยประหยัดเวลา
** ลองเขียนดูหรือให้ Opal ช่วย ***
การทดสอบแนวคิด
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือตำแหน่งที่ตอบสนององค์ประกอบทั้งสามอย่างพร้อมกัน อันได้แก่
มีความสำคัญ (Relevant) คือตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
มีความแตกต่าง (Distinctive) คือแตกต่างจากคู่แข่ง
มีความน่าเชื่อถือ (Credible) คือแบรนด์สามารถส่งมอบได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน
ความครบถ้วน (Completeness) องค์ประกอบหลักทั้งห้า (กลุ่มเป้าหมาย, แบรนด์, กรอบการตลาดอ้างอิง, คุณค่าและมูลค่า, ความน่าเชื่อถือ) ได้รับการรวมและกำหนดไว้หรือไม่
ความชัดเจนด้านภาษา (Precision) ภาษาเป็นรูปธรรม เจาะจง และปราศจากความคลุมเครือหรือคำศัพท์เฉพาะ
ความสอดคล้อง (Consistency) องค์ประกอบทั้งหมดเชื่อมโยงกันหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์เกิดขึ้นโดยตรงจาก RTB ที่ระบุไว้? และหรือเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ ภารกิจ และทรัพยากรของบริษัทในระยะยาวหรือไม่อย่างไร
หากมีข้อคิดเห็นหรือเสนอแนะใดๆ ทักมาคุยกัหรือแอดมาเป็นเพื่อนกันที่ https://www.facebook.com/kmuttentrepreneurship/
หลักสูตรการจัดการการเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรม และความยั่งยืน (#EPM) เป็นหลักสูตรภายใต้การกำกับดูแลของบัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (#GMI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (#KMUTT)
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ (02) 470-9799, (02) 470-9795-6, 084-676-5885
LINE : @GMIKMUTT
หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://gmi.kmutt.ac.th/th/study-with-us/epm/
สนใจสมัครได้ที่ https://bit.ly/GMI_Apply
CRAFT LAB เตรียมความพร้อมในการพัฒนานักวิจัยให้เป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์ที่สามารถมีทักษะและความรู้ที่ควรเป็น อย่างมีผลลัพธ์ สนใจทักมาคุยกับได้ที่ Line: @061jlshn หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
บทความชวนคิดด้านธุรกิจ
คลิกที่นี่เพื่อเข้าดูบทความธุรกิจ ตั้งแต่การกาโอกาศ การตั้งกิจการ การพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจ การพัฒนาโครงสร้างองค์กร การทำการตลาด การตลาดดิจิทัล การเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุน
เพิ่มเราเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คเพื่อรับข่าวสารและข้อมูลต่อยอดความเข้าใจ
สำหรับท่านที่ต้องการต่อยอดความรู้ระดับ 'ปริญญาโท' ด้าน 'การเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรม และความยั่งยืน' ที่เน้นช่วยระบุโอกาสธุรกิจไปถึงการสร้างธุรกิจและการนำเข้าสู่ตลาดทุนสามารถคลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
เรื่องที่น่าสนใจอื่น